วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เชื่อหรือไม่!! ขยะทำให้บ้านเย็นขึ้น

ขยะ หมายถึง ทุกสิ่งที่เราไม่ต้องการแล้ว และต้องการกำจัดออกไป ไม่ว่าจะเป็นเศษอาหารที่กินเหลือ เศษผักจากการทำอาหาร หรือผลไม้ที่เน่าเสียแล้ว (เราเรียกขยะกลุ่มนี้ว่าขยะเปียก) กระดาษที่ใช้แล้ว ขวดพลาสติก หรือผ้าเก่า (เราเรียกขยะกลุ่มนี้ว่าขยะแห้ง) และขวดยาฉีดยุง ถ่านไฟฉายเก่า หรือหลอดไฟที่เสียแล้ว (เราเรียกขยะกลุ่มนี้ว่าขยะอันตราย) การกำจัดขยะภายในบ้าน ทำได้ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ทิ้งขยะลงในถังขยะ ใส่ถุงดำ แล้วนำไปทิ้งไว้นอกบ้าน ขยะก็จะหายไปจากบ้านเราได้ทันที แต่ถ้ามีคนบอกว่าขยะทำให้บ้านคุณเย็นได้ คุณอาจจะเปลี่ยนใจเก็บขยะนั้นไว้ก็ได้

เชื่อหรือไม่ว่าทุกวันนี้คนไทยกว่า 60 ล้านคน สามารถสร้างขยะได้มากถึง 14 ล้านตันต่อปี ตัวเลขดังกล่าวมากแค่ไหน ให้นึกถึงกองภูเขาขยะที่สูงกว่า 40 เมตร และกินเนื้อที่ไปถึงกว่า 800 ไร่ อย่างไรก็ตามพบว่าความสามารถในการจัดเก็บขยะของประเทศกลับมีไม่ถึง 70% ของขยะที่เกิดขึ้น ซึ่งขยะส่วนที่ไม่ถูกจัดเก็บจะพบในรูปของขยะมูลฝอยตกค้างตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมักจะถูกกองบนพื้นเพื่อรอให้เกิดการย่อยสลายตามธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมาก หรือแม้แต่ขยะที่ถูกจัดเก็บเอง ก็จะถูกจัดการโดยใช้วิธีฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) ก็ยังก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน

ชนิดของขยะ ระยะเวลาย่อยสลาย
เศษกระดาษ 2-5 เดือน
เปลือกส้ม 6 เดือน
ถ้วยกระดาษเคลือบ 5 ปี
ก้นกรองบุหรี่ 12 ปี
รองเท้าหนัง 25-40 ปี
กระป๋องอะลูมีเนียม 80-100 ปี
ถุงพลาสติก 450 ปี
โฟม ไม่ย่อยสลาย

เพื่อให้การจัดการขยะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนพยายามรณรงค์ให้เกิดความสำนึกแก่ประชาชน โดยดำเนินการใน 2 มาตรการใหญ่ๆ นั่นคือ

1. คิดก่อนจะทิ้งขยะ โดย มีแนวคิดอยู่ 7R คือ REFUSE การปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสิ่งของหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะสร้างปัญหาขยะรวมทั้งเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กล่องโฟม หรือ ขยะมีพิษอื่นๆ REFILL การเลือกใช้สินค้าชนิดเติมซึ่งใช้บรรจุภัณฑ์น้อยชิ้นกว่า ขยะก็น้อยกว่าด้วย RETURN การเลือกใช้สินค้าที่สามารถส่งคืนบรรจุภัณฑ์กลับสู่ผู้ผลิตได้ เช่น ขวดเครื่องดื่มประเภทต่างๆ REPAIR การซ่อมแซมเครื่องใช้ ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อไป ไม่ให้กลายเป็นขยะ REUSE การนำบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ เช่น ใช้ถุง ผ้าไปช็อปปิ้งแทนถุงก๊อบแก๊บ RECYCLE การแยกขยะที่ยังใช้ประโยชน์ได้ให้ง่ายต่อการจัดเก็บและส่งแปรรูป เช่น บรรจุภัณฑ์ พลาสติก แก้ว กระป๋องเครื่องดื่มต่างๆ และ REDUCE การลดการบริโภคและหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานของสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ

2. การแยกขยะและทิ้งขยะในที่ๆจัดไว้ให้ เช่น ถังสีฟ้า รองรับขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ รีไซเคิลยาก แต่ไม่เป็นพิษ เช่น พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่สำเร็จรูป ถุงพลาสติกเปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร ฟอล์ยเปื้อนอาหาร ถังสีเขียว รองรับขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้เร็ว สามารถนำมาหมักทำปุ๋ยได้ เช่น ผัก ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ ถังสีเหลือง รองรับขยะที่สามารถนำมารีไซเคิลหรือขายได้ เช่น แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ และถังสีเทา-ส้ม รองรับขยะที่มีอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ขวดยา ถ่านไฟฉาย กระป๋องสีสเปรย์ กระป๋อง ยาฆ่าแมลง ภาชนะบรรจุสารอันตรายต่างๆ

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการผลิตพลังงานจากหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยแบบถูกหลักสุขาภิบาล โดยการพัฒนาและปรับปรุงระบบฝังกลบขยะมูลฝอยเพื่อลดการปล่อยออก (Emission) ของก๊าซมีเทนที่เกิดจากกระบวนการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) ภายในหลุมฝังกลบ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas : GHG) ที่ก่อให้เกิดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก หรือภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือโครงการผลิตพลังงานโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมฝังกลบขยะมูลฝอยซึ่งเป็นการกู้คืนมีเทน (Methane Recovery) จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดปัญหาดังกล่าว และเป็นการทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลในการผลิตพลังงาน

จากการศึกษาล่าสุดจากมหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองเดวิส ได้นำเสนอเครื่องมือที่จะเปลี่ยนผักเหี่ยวๆ ก้างปลาและเศษอาหารให้เป็นก๊าซชีวภาพ (Biogas) ซึ่งมีส่วนประกอบหลักๆ คือ ก๊าซธรรมชาติ(ก๊าซมีเทน) 60% ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 40% และก๊าซอื่นๆเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์อีก 0.2-0.4% ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการแยกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว ก๊าซมีเทนที่ได้ก็จะมีคุณภาพเทียบเท่ากับก๊าซธรรมชาติทั่วไปในท้องตลาดเลยทีเดียว เทคโนโลยีรูปแบบใหม่นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ บ่อหมักแบบไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic phrased solids digester)

“ทุกๆหนึ่งตันของก้านบรอคคอลี่แก่ๆ เปลือกแตงโมและก้างปลา จะสามารถผลิตพลังงานสำหรับให้ความอบอุ่นกับบ้านในแคลิฟอร์เนียถึง 10 หลัง และก๊าซธรรมชาติที่ได้ยังเอาไปใช้กับรถได้อีกด้วย” ทางมหาวิทยาลัยกล่าว

ปัจจุบันบริษัท ออนไซท์ พาวเวอร์ ซิสเต็มได้ซื้อลิขสิทธิ์จากทางมหาวิทยาลัยและเริ่มผลิตเครื่องมือนี้ออกขายในท้องตลาดแล้ว และหากมีการพัฒนาต่อไปน่าจะสามารถนำพลังงานดังกล่าวมาใช้สำหรับเครื่องปรับอากาศในบ้านเราแทนการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันได้

เอกสารอ้างอิง
1. http://www.pcd.go.th/ เข้าเมื่อวันที่ 3/8/2008
2. http://www.moe.go.th/ เข้าเมื่อวันที่ 3/8/2008
3. http://www.advanceagro.com/ เข้าเมื่อวันที่ 3/8/2008
4. http://www.vcharkarn.com/ เข้าเมื่อวันที่ 3/8/2008

ไม่มีความคิดเห็น: