วันก่อน นั่งกลุ้มใจเรื่องหนี้บัตรเครดิต เลยเริ่มอ่านวิธีคิดดอกเบี้ยด้านหลังใบแจ้งหนี้ ซึ่งแต่เดิมไม่เคยสนใจเลยก็เพิ่งค้นพบสัจธรรม เรืองของการมีบัตรเครดิตหลายๆใบนี่ มีข้อดีกว่ามีบัตรใบเดียว ลอง browse ไปใน net สุด love google.com ก็เห็นว่าจริงๆแล้วมีคนเขียนเรื่องนี้บ่อยแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เคยสนใจเลย เฮ้อ...
เริ่มเลยดีกว่า แต่ก่อนผม (และเชื่อว่าอีกหลายคน) คงคิดว่าบัตรเครดิต คือ บัตรวิเศษที่ให้เราสามารถยืดระยะเวลาผ่อนจ่ายไปได้ตามข้อกำหนดของแต่ละบัตร บางบัตรก็ 40 วัน บางบัตรก็ 45 วัน หรือบางบัตรก็ 50 วัน พอเงินเดือนออกเราก็ค่อยไปจ่าย เราได้ของแถมมาเป็น point เอาไปลดบ้าง เอาไปแลกบ้าง หรือบางทีบัตรวิเศษนี้ก็ให้อภิสิทธิ์พิเศษได้ที่จอดรถฟรี หรือว่าผ่อน 0% เป็นต้น โดยถ้าเราไม่ได้ใช้เงินเกินตัว บัตรนี้ก็ยังคงเป็นบัตรวิเศษต่อไป
แต่เมื่อมีวันใดวันหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ที่มากกว่าจะชำระได้หมดในคราวเดียว แน่นอนทุกคนทราบว่าต้องเสียดอกเบี้ยให้กับบัตร และหลายคนทราบ rate เป็นอย่างดีด้วย แต่ผมยังเชื่อว่าหลายคนยังคงคิดว่าดอกเบี้ยที่เราเสียนั้นคิดจากยอดที่เราค้างชำระ และเริ่มนับจากวันกำหนดชำระของบัตร ..... (คิด) .... (คิด) ..... ถ้าความคิดนี้ตรงกับคุณ คุณก็กำลังเป็นเหยื่อของบัตรเครดิต แบบที่ผมเพิ่งรู้นี่แหละ
การใช้บัตรเครดิตนั้นจะมีวันที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 วัน นั่นคือวันตัดรอบ กับวันนัดชำระเงิน รายละเอียดของแต่ละวันก็มีดังนี้
(1) วันตัดรอบ คือ วันที่ยึดถือเป็นวันในการคำนวณค่าใช้จ่ายมาแสดงให้เราดูในใบแจ้งหนี้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับวันที่เราใช้จ่ายผ่านการรูดบัตร โดยคร่าวๆก็คือ ถ้าเรารูดบัตรหลังจากวันนี้ บริษัทก็จะมาเรียกเก็บเงินในรอบถัดไป (นั่นก็ทำให้เราหายใจคล่องคอไปอีกพักหนึ่ง) ซึงจริงๆแล้วทางบริษัทบัตรเครดิตไม่ได้ยึดถือจากวันที่เรารูดหรอก แต่จะยึดจากวันที่ร้านค้าไปขึ้นเงินต่างหาก ดังนั้นคนที่ใช้บัตรเครดิตเซียนๆก็จะวางแผนซื้อของตามวันตัดรอบนี้แหละ นอกจากนี้กรณีที่เราเคยมีการค้างชำระ ดอกเบี้ยซึ่งถูกคำนวณเป็นรายวันก็จะคำนวณถึงวันตัดยอดนี่แหละ นั่นหมายถึงจริงๆแล้ว ณ วันที่เราได้รับใบแจ้งหนี้ ดอกเบี้ยนั้นเดินทางล่วงหน้าไปกว่าดอกเบี้ยตามใบแจ้งหนี้แล้วนั่นเอง
(2) วันนัดชำระเงิน วันนี้ถือเป็นวันสำคัญ เพราะหากเราชำระเงินเกินจากวันที่กำหนดจะมีค่าใช้จ่ายอีกอย่างหนึ่งงอกออกมาจากดอกเบี้ย ที่เรียกว่าค่าทวงถามหนี้ อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าแค่ไปชำระเงินในวันนี้เท่านั้น ยอดของการชำระเงินต้องมากกว่ายอดขั้นต่ำที่บริษัทบัตรเครดิตกำหนดด้วย (ยอดขั้นต่ำก็คือ 10% ของหนี้คงค้างในแต่ละยอดที่คำนวณ ณ วันตัดรอบ)
เอ แล้ววันตัดรอบกับวันนัดชำระเงินเกี่ยวข้องอะไร ... เกี่ยวอย่างมากครับ เพราะ จริงๆแล้วบริษัทบัตรเครดิตนั้นคิดดอกเบี้ยทุกการใช้จ่ายของเรา โดยแบ่งการคิดออกเป็น 3 ก้อนครับ นั่นคือ
[1] ดอกเบี้ยถึงวันตัดรอบ - อันนี้คิดจากยอดที่รูดจริงๆครับ
[2] ดอกเบี้ยจากวันตัดรอบถึงวันนัดชำระเงิน - อันนี้คิดจากยอดที่รูดจริงๆครับ
[3] ดอกเบี้ยจากวันชำระเงินถึงวันตัดรอบถัดไป - อันนี้คิดจากยอดที่ค้างชำระครับ
อ่านถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งงงนะครับ กำลังตั้งใจจะบอกว่าจริงๆแล้วทุกยอดบัตรเครดิตที่ใช้นะ มีดอกเบี้ยหมด ไม่ใช่มีเฉพาะดอกเบี้ย [3] ที่เราเข้าใจ แต่บริษัทบัตรเครดิต เค้ายกเว้นดอกเบี้ย [1]และ [2] ให้ถ้าเราจ่ายยอดเต็มก่อนวันนัดชำระเงิน แต่ถ้าเราจ่ายไม่ครบ เราจะเจอดอกเบี้ยทั้ง [1] [2] และ [3] เรียกว่า ได้ 3 เด้งเลย
มาดูตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นนะครับ
สมมติว่า คุณภาคเพิ่งได้บัตรเครดิตใบหนึ่ง วันกำหนดตัดยอดวันที่ 20 ของทุกเดือน และกำหนดชำระเงินวันที่ 10 ของเดือนถัดไป
คุณภาคดีใจมาก เริ่มรูดซื้อของใน Index Living Mall ในวันที่ 5 มูลค่า 20,000 บาท
จากนั้นไปซื้อของต่อใน Homepro ในวันที่ 10 มูลค่า 6,000 บาท
จากนั้นซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่ร้าน ในวันที่ 15 มูลค่า 12,000 บาท
และว่าจะซื้อของที่ Carrefour อีก แต่รอหลังวันตัดรอบดีกว่า จึงไปซื้อของและรูดวันที่ 21 มูลค่า 3,500 บาท
เอ เงินชักไม่พอ หยุดใช้ก่อน!!
ประมาณปลายเดือน คุณภาคจะได้ใบแจ้งหนี้จากบัตรเครดิต รอบแรก ซึ่งจะแสดงรายละเอียดของแต่ละรายการที่ได้ไปรูดมา ซึ่งจากตัวอย่าง ในใบแจ้งหนี้นี้จะแสดง 3 รายการ ซึ่งวันที่อาจไม่ตรงเท่าไร ขึ้นกับว่าบริษัทที่เรารูดไปขึ้นเงินวันไหน แต่ยังไงก็ตาม ยอดหนี้ที่แจ้งมาก็คือ 20,000+6,000+12,000 = 38,000 บาท และมีการคำนวณให้เบ็ดเสร็จว่ายอดขั้นต่ำที่ชำระได้ก็คือ 10%x38,000 = 3,800 บาท โดยกรุณาไปชำระภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไปด้วย
คุณภาค ได้รับมายังไม่ใส่ใจเท่าไร จนกระทั้งต้นเดือน เงินเดือนเข้าพร้อม slip คุณภาคตกใจมาก เพราะว่ารายรับที่คิดว่าจะได้กลับหายไป เนื่องจากคุณภาคโดนตัด MBO และ MIB (ถ้าไม่รู้จัก ไม่เป็นไรครับไม่สำคัญ) ทำให้มีเงินจ่ายไม่พอ คุณภาคจึงตัดสินใจว่า เอาวะ จ่ายไปก่อน 28,000 บาท ที่เหลืออีก 10,000 นึง เอาไว้จ่ายเดือนหน้า ยอมเสียดอกเบี้ย 21% ต่อปี คิดเป็นเงินจากวันจ่ายเงินถึงวันตัดยอดก็ 10,000x21%/365x9 = 51.78 บาท ........... คิดได้แบบคุณภาคไหมครับ.......!!
คุณภาค คุณกำลังตกเป็นเหยื่อของบัตรเครดิตแล้วครับ...
ปลายเดือนถัดมา คุณภาคได้ใบแจ้งหนี้ใบที่ 2 ใบแจ้งหนี้จะแจ้งว่า คุณภาคครับ คุณภาคโดนแจ้งหนี้งวดที่แล้ว 38,000 บาท และจ่ายมา 28,000 บาท ค้างชำระ 10,000 บาท และมีการรูดในระหว่างรอบไปอีก 3,500 บาท ดังนั้น คุณภาคมียอดหนี้เงินต้น = 13,500 บาท และมีดอกเบี้ยระหว่างรอบ รวม 730.68 บาท !!!! ไม่ใช่ 51.78 บาท ... อ้าว แล้วมาจากไหนครับ ก็คิดดังนี้ครับ
[1] ดอกเบี้ยถึงวันตัดรอบ - 20,000x21%/365x15 + 6,000x21%/365x10 + 12,000x21%/365x5 = 241.64
[2] ดอกเบี้ยจากวันตัดรอบถึงวันนัดชำระเงิน - (20,000+6,000+12,000)x21%/365x20 = 437.26
[3] ดอกเบี้ยจากวันชำระเงินถึงวันตัดรอบถัดไป - (38,000-28,000)x21%/365x9 = 51.78
แต่นิยายไตรภาคยังไม่จบแค่นี้ แม้ว่าคุณภาคจะไปชำระยอดทั้งหมดในเดือนนี้ตามกำหนด นั่นคือไปจ่ายยอด 13,500+730.68 = 14,230.68 บาท ในวันที่ 10 และไม่ใช้อีกเลย ใบแจ้งหนี้เดือนถัดไป ก็จะมีดอกเบี้ยอันเกิดจากยอดเงินค้างเดิม (10,000 บาท)ที่ค้างตั้งแต่วันตัดยอด จนถึงวันชำระเงิน (อีก 20 วัน) คิดได้ก็ 10,000x21%/365x20 = 115.07 บาท .... เจริญ!!
เขียนมาถึงตรงนี้ก็เลยสรุปได้สัจธรรมว่า ถ้ารู้ว่าจะจ่ายหนี้บัตรเครดิตได้ไม่หมด ก็ควรแยกบัตรเครดิตเป็นอย่างน้อย 2 ใบ โดย ให้เหลือหนี้แค่ใบเดียว ส่วนใบอื่นจ่ายให้หมด เพราะเราจะประหยัดดอกเบี้ยส่วนที่ [1] และ [2] ได้ เช่น ถ้าคุณภาค รู้ว่าจ่ายได้แค่ 28,000 บาท ในเดือนนี้ ก็อาจแยกรูดเป็น 20,000 บาท 1 ใบ และ 18,000 อีก 1 ใบ พอใบแจ้งหนี้มาก็จ่ายใบ 20,000 บาท ให้หมด และจ่ายอีก 8,000 สำหรับบัตรอีกใบหนึ่ง ดอกเบี้ยในงวดถัดไปก็จะเหลือแค่ 327.95 บาท เห็นไหมครับ ลดลงเกินครึ่งครับ
นอกจากนี้หลักอีกข้อก็คือ มีเงินเมื่อไรไม่ต้องรอครบ due ไปจ่ายเลยครับ เพราะดอกเบี้ยคิดเป็นวัน (^-^)/
เย้ๆๆ คิดไปได้
วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
2 ความคิดเห็น:
ขอบคุณมากครับ สำหรับบทความ
ขอบคุณเช่นกันครับ ^-^ ขอให้ขายดีๆ ไว้มีบริษัทใหญ่โตจะเข้าไปอุดหนุนนะครับ
แสดงความคิดเห็น