แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอากาศที่บางทีก็หนาวบางทีก็ร้อนอย่าง เครื่องทำน้ำร้อนและเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้าน แถมพ่วงด้วยตู้เย็นอีกอย่าง
--o--เครื่องทำน้ำร้อน/อุ่น--o-----------------o----------------------------------
เมื่อวันก่อนนั่งฟังวิทยุ มีคนมีปัญหาเรื่องเครื่องทำน้ำอุ่นออกอากาศทางวิทยุ จำได้ว่าตอนนั้นเคยอ่านผ่านตามา เลยเอามาเขียนสักหน่อย
-เครื่องทำน้ำร้อนหรือเครื่องทำน้ำอุ่น
หลายคนยังไม่รู้ว่าน้ำอุ่นๆที่เราอาบกันนั้นมาได้จากทั้งเครื่องทำน้ำร้อนและเครื่องทำน้ำอุ่น 2 เครื่องนี้ต่างๆกันตามชื่อเลย ก็คือ เครื่องทำน้ำร้อนก็จะทำน้ำให้ร้อน ดังนั้นเวลาอาบน้ำก็จะปรับอุณหภูมิโดยการผสมกับน้ำเย็น (น้ำประปาปกตินี่แหละ) ดังนั้น อุปกรณ์และระบบก็ต้องเตรียมให้เหมาะสม คือ นอกจากจะต้องมีการเดินท่อน้ำประปาปกติ ยังต้องมีท่อส่งน้ำร้อนเฉพาะอีกด้วย นอกจากนี้พวกอุปกรณ์อย่างก๊อกก็ต้องเป็นประเภทก๊อกผสม คือปรับปริมาณน้ำอุ่นและน้ำเย็นได้ และโดยทั่วไปเครื่องทำน้ำร้อนจะใช้งานหลายจุด เช่น ใช้ทั้งในส่วนอาบน้ำและอ่างล้างหน้า เป็นต้น ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นง่ายกว่าเยอะเพราะแค่มีท่อน้ำประปาปกติ ต่อเข้าเครื่องก็จบเลย ดังนั้นการจะเลือกว่าจะใช้เครื่องทำน้ำร้อนหรือน้ำอุ่น แนะนำว่า อย่างแรกดูระบบของบ้านก่อนว่าติดตั้งไว้อย่างไร ถ้ามีการเดินท่อสำหรับระบบน้ำร้อน ก็สามารถเลือกติดได้ทั้งเครื่องทำน้ำร้อนหรือเครื่องทำน้ำอุ่น แต่ถ้าไม่มีระบบเผื่อไว้ก็เลือกเครื่องทำน้ำอุ่นเถอะครับ สำหรับบ้านผมเองมีระบบน้ำร้อนเดินไว้ครับ แต่ผมก็เลือกใช้เครื่องทำน้ำอุ่นครับ เพราะไม่แน่ใจว่าท่อน้ำร้อนที่เดินไว้เป็นท่อเหล็กเก่าหรือเปล่า ถ้าเป็นก็จะมีสนิมปนเข้าไปในระบบได้ครับ

-เลือกขนาด
การเลือกขนาดเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งโดยทั่วไปจะระบุเป็นวัตต์นั้น ควรเลือกขนาดที่เหมาะสม ตามอุณหภูมิที่ต้องการ จำนวนจุดการใช้ และความแรงของน้ำ เรื่องของความแรงของน้ำกับขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นนั้นสำคัญมากครับ เพราะบางครั้งถ้าเลือกใช้ไม่เหมาะสม น้ำที่ได้อาจไม่อุ่นเลยก็ได้ ผมเคยอ่านเจอมีผู้แนะนำไว้ดังนี้
กรณีน้ำเข้าที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส
3500 Watt ต้องไหล ไม่เกิน 4 ลิตรต่อนาที ถึงจะได้น้ำอุ่น
4500 Watt ต้องไหล ไม่เกิน 5 ลิตรต่อนาที ถึงจะได้น้ำอุ่น
6000 Watt ต้องไหล ไม่เกิน 6 ลิตรต่อนาที ถึงจะได้น้ำอุ่น
กรณีน้ำเย็นๆ อย่าง 18 องศาเซลเซียส
6000 Watt ต้องไหล ไม่เกิน 4 ลิตรต่อนาที ถึงจะได้น้ำอุ่น
อย่างไรก็ดีผมว่าตัวเลขดังกล่าวอาจไม่เหมาะกับการนำไปใช้งานสักทีเดียว เพราะการจะวัดอย่างละเอียดคงต้องดูปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามา ซึ่งคงต้องขึ้นกับความแรงของการประปา ปั๊มน้ำที่เลือกใช้ และตำแหน่งของห้องน้ำ นอกจากนี้ยังต้องขึ้นกับระบบของเครื่องทำน้ำอุ่นว่ามีถังเก็บน้ำหรือไม่ ขนาดเท่าไรอีกด้วย ดังนั้นในความเห็นของผมเห็นว่า ถ้าไม่ได้ต้องการความร้อนเป็นพิเศษก็เลือกใช้แค่ 3,500 วัตต์ก็พอ ถ้าน้ำที่บ้านแรงไปก็ปรับวาล์วลดปริมาณน้ำเข้าลงหน่อย ทำให้น้ำร้อนเร็วขึ้นและยังประหยัดไฟได้มากขึ้น ส่วนคนที่ชอบน้ำร้อนๆก็เพิ่มไปใช้ที่ 4,500 วัตต์ แต่สำหรับขนาด 6,000 วัตต์ดูจะใหญ่ไปนิดนึง น่าจะเหมาะกับหลายจุดมากกว่า
ที่สำคัญอีกอย่างที่ลืมไม่ได้เลยสำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นก็คือ ไม่ควรเปลี่ยนอุปกรณ์พวกฝักบัวที่ติดมากับเครื่อง เพราะอาจจะได้น้ำที่ไม่อุ่นได้ครับ
-ความปลอดภัย
เรื่องเครื่องทำน้ำอุ่นกับความปลอดภัยนั้นสำคัญมาก จำกรณีนักร้องนำวง Potato คนแรกที่เสียชีวิตจากไฟฟ้าดูดจากเครื่องทำน้ำอุ่นได้ใช่ไหมครับ สำหรับเครื่องทำน้ำอุ่นในปัจจุบันมักมีระบบ safety ติดตั้งมาอยู่แล้ว ซึ่งระบบจะแตกต่างกันไปตามราคาด้วย อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีความปลอดภัยแค่ไหน แนะนำว่า ต้องติดตั้งสายดินทุกครั้ง โดยก่อนติดตั้งควรแน่ใจว่าสายดินนั้นใช้ได้จริง ซึ่งอาจเช๊คง่ายๆโดยต่อวงจรไฟแสงสว่าง แตะที่สาย Line และสาย Ground ไฟควรจะสว่าง และ Line กับ Neutral ไฟก็สว่าง แต่ถ้าแตะ Ground กับ Neutral ไฟจะไม่สว่าง
นอกจากสายดิน แนะนำว่าควรติด breaker ย่อยไว้ด้วย โดยขนาด breaker คำนวณได้จากขนาดเครื่องทำน้ำอุ่นหาร 220 เช่น 3,500/220 = 15.9 Amp ก็เลือกใช้ breaker ขนาด 16 Amp ซึ่ง breaker ที่จะติดควรอยู่บริเวณที่ใกล้เคียงกับเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ต้องแห้ง เผื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ปิดได้ทันท่วงที และไม่ควรประมาทว่ามี breaker ที่ตู้ไฟ (MDB) แล้ว เพราะโดยทั่วไปจะมักจะติดขนาดเผื่อไว้ใหญ่กว่าเครื่องทำน้ำอุ่นที่เราเลือกใช้ และบางครั้งต่อพ่วงควบคุมไฟหลายจุดด้วย
-การเลือกซื้อ
ก็เลือกที่มียี่ห้อหน่อยครับ สบายใจ นอกจากนี้ควรเลือกซื้อช่วงหน้าหนาวจะได้ promotion ที่ดีกว่า ยิ่งซื้อได้ตามงานที่จัดตามห้าง อย่าง electronic fair ยิ่งได้ราคาถูกครับ ส่วนการซื้อตามร้านนอกห้างจะได้ราคาถูกกว่าห้างไม่กี่ร้อยบาทครับ
--o--เครื่องปรับอากาศ--o-----------------o----------------------------------
เครื่องปรับอากาศหรือที่เรามักเรียกว่าแอร์นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกขนาดที่เหมาะสม โดยขนาดของเครื่องปรับอากาศมักบอกกันเป็นหน่วย BTU หรือบางทีก็เรียกเป็นตัน โดย 1 ตัน = 12,000 BTU/ชั่วโมง การคำนวณขนาดที่เหมาะสมของเครื่องปรับอากาศนั้นถ้าคิดโดยละเอียดจะต้องคิดถึงปริมาตรอากาศร้อนที่เกิดขึ้นได้ในห้องปิดหนึ่งๆที่จะติดแอร์ แต่เราสามารถคำนวณคร่าวๆโดยใช้พื้นที่ห้อง เป็น ตร.ม.แล้วคูณด้วยค่า factor ซึ่งถ้าบ้านทั่วๆไปก็ควรคูณด้วย 600-900 ตามความร้อนที่คิดว่ามี เช่น ห้องนอนขนาด 20 ตร.ม. ไม่ร้อนเลย ก็ใช้แอร์ขนาด = 20x600 = 12,000 BTU แต่ถ้าเห็นว่ามีหน้าต่าง โดดแดด พอสมควร อาจเพิ่มขึ้นเป็น = 20x750 = 15,000 BTU หรือถ้าร้อนมากกกกกกก = 20x900 = 18,000 BTU เป็นต้น
เมื่อได้ขนาดแล้วก็มีเลือกรูปแบบของแอร์นั้นเป็นเรื่องตามความสวยงามของบ้านและความเหมาะสมของพื้นที่ครับ สำหรับบ้านโดยทั่วๆไปก็แนะนำให้เลือกแบบ wall type หรือแบบติดผนังทั่วไปครับจะดีครับ แต่บางบ้านจะเลือกเป็นแอร์ฝัง เพื่อให้สวยงาม โดยหารู้ไม่ว่า เป็นการสร้างปัญหาให้กับการปรับอากาศ และเจ้าของบ้านในอนาคต เพราะแอร์ฝัง ติดตั้งยาก ล้างยาก ฝ้าเพดานที่ฝังรั่วทำให้แอร์รั่ว ฝ้าเพดานร้อนทำให้แอร์ไม่เย็น สกปรกทำให้เกิดเชื้อโรค และทำให้เจ้าของบ้านเป็นโรคภูมิแพ้ หรือบางบ้านมีขนาดใหญ่มากก็ควรเลือกแอร์แบบอื่นที่เหมาะสม ซึ่งปรึกษาคนขายได้ครับ
จากนั้นก็ไปเลือกที่ความประหยัดไฟ โดยดูง่ายๆก็เลือกที่เบอร์ 5 ครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วแอร์เบอร์ 5 เหมือนกัน ใช่ว่าจะประหยัดไฟเท่ากัน และอนาคต แอร์ทั้งทุกรุ่นที่ขายกันอยู่ก็คงเป็นเบอร์ 5 ทั้งนั้น ดังนั้นถ้าจะดูการประหยัดไฟโดยละเอียดนั้น ต้องดูที่ค่าที่เรียกว่า ERR สำหรับแอร์ที่จัดเป็นพวกบ้าเห่อ หรือเบอร์ 5 นั้นต้องมีค่า ERR มากกว่า 10.6 บีทียู/ชั่วโมง/วัตต์ แต่ปัจจุบันมีแอร์จำนวนมากที่มีค่ามากกว่านี้มาก และยิ่งหากเป็นระบบ inverter ยิ่งประหยัด เพราะมอเตอร์ไม่ต้องตัดบ่อยๆแบบระบบเดิม แต่ใช้วิธีการปรับรอบตามอุณหภูมิห้องแทน แต่ค่าตัวก็แพงตาม
ส่วน Spec อื่นๆนั้นก็แล้วแต่ความชอบเลย เพราะเครื่องปรับอากาศสมัยนี้จะมีลูกเล่นและหน้าตาที่แตกต่างกัน แต่ยี่ห้อที่แนะนำก็เป็นพวกแอร์ชั้นนำครับอย่าง มิตซู เฮพวี่ ของมหาจักร หรือ มิตซู อีเลคทริค ของกันยง เค้าว่าเย็นฉ่ำและถอดล้างได้ทุกชิ้นส่วน Daikin เค้าว่าเงียบที่สุด หรือจะเป็นแอร์นอกอย่าง York, Carrier, หรือ Train ก็เป็นแอร์ชั้นนำ อีกอันนึงที่มีคนเคยแนะนำก็คือ Fujisu (แต่ไม่ค่อยเห็นคนใช้กันเท่าไร) อย่างไรก็ดีเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเรื่องแอร์ค่อนข้างตามกันทันหมด ทุกยี่ห้อก็ดีไม่ค่อยต่างกัน แต่ยี่ห้อที่คนใช้เยอะๆอย่าง mitsu ทั้ง 2 ค่ายและ daikin จะได้เปรียบเรื่องการดูแลหลังการขายมากกว่า นอกนั้นก็ดูที่หน้าตาครับ ผมแนะนำให้ไปดูที่ website : www.ruamair.com ซึ่งรวบรวมแอร์ไว้ค่อนข้างเป็นระบบและครบถ้วน แยกตามขนาด และเรียงตามลำดับราคาได้ดี ราคาก็ถูกใช้ได้นะครับ แต่ยังไงต้องลองสืบๆราคาที่อื่นดู อาจจะลดราคาได้สัก 500-1000 บาทครับ
สุดท้ายของเรื่องแอร์ก็คือเรื่องของการดูแลรักษาแอร์ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก มีข้อแนะนำดังนี้
1. หมั่นล้าง filter ทุกเดือน จ้างช่างมาล้างเครื่องปรับอากาศประมาณ 3-6 เดือนต่อครั้ง ประหยัดไฟได้ 5-7 % และควรมีการถอดล้างภายในหรือ "ล้างใหญ่" โดยช่างผู้ชำนาญอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 10%
2. กันร้อนให้คอนเดนเซอร์ ด้วยการตั้งคอนเดนเซอร์ไว้ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทสะดวก และควรตั้งห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น จะประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 15-20%
3.ปรับเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศา ช่วยประหยัดไฟมากอย่างมาก เพราะหากปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น 1 องศา จะใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10%
4.ไม่นำความชื้นเข้าห้อง เพื่อไม่ให้ต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการรีดความชื้นออกจากห้อง
5.ไม่นำของร้อนเข้าห้องให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักเกินไป
6.ควรปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ป้องกันไม่ให้อากาศร้อนหรือความชื้นจากภายนอกเข้ามา เพราะจะทำให้เครื่องแอร์ต้องทำงานหนักขึ้น และกินไฟมากขึ้นด้วย
7.ควรปิดแอร์ก่อนออกจากห้อง อย่างน้อย 30 นาที - 1 ชั่วโมง จะช่วยลดการใช้ไฟได้ 30 หน่วยต่อเดือน ประหยัดได้ 75 บาทต่อเดือน ถ้าปิดเร็วขึ้นวันละ 1 ชั่วโมง 1 ล้านเครื่อง จะประหยัดไฟให้ประเทศได้เดือนละ 75 ล้านบาท หรือ 900 ล้านบาทต่อปี
--o--ตู้เย็น--o-----------------o----------------------------------
ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีข้อมูลการเลือกใช้มากนัก ซึ่งผมเข้าใจว่ามันก็แค่ตู้เย็นครับ เทคโนโลยีก็คงไม่มีอะไรมาก แม้ว่าพอเราไปอ่าน brochure จะพบว่าตู้เย็นมีนู่น มีนี่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบกำจัดกลิ่น ระบบกำจัดเชื้อโรค หรือระบบ auto frost แต่ผมหาข้อมูลไม่เจอครับ อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อตู้เย็นอันดับแรกก็คือต้องเลือกตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดที่จะใช้ครับ ซึ่งหลักการทั่วๆไปก็ให้ดูจำนวนคน ถ้าเราอยู่คนเดียว ก็ควรเลือกตู้เย็นแบบประตูเดี่ยวขนาดประมาณ 6-7 คิวครับ ถ้า 2 คนก็ต้องใช้ประมาณ 9-12 คิวครับ ซึ่งพวกนี้โดยทั่วไปก็จะทำเป็น 2 ประตู แบบบนล่าง แต่บางรุ่นก็ทำเป็น 3 ประตูก็มี และถ้าใหญ่กว่านั้นก็อาจจะเป็นรุ่นพี่เบิ้มอย่าง side by side ครับ
ในส่วนตัวผม หลังจากได้ขนาดที่เหมาะสม ผมก็เลือกจากรูปทรงครับ เพราะผมว่าตู้เย็นนี่เป็นของแต่งบ้านได้ดีทีเดียว ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ ผมชอบตู้เย็นสีๆลายธงชาติอิตาลียี่ห้อ SMEG ไม่รู้มีใครเคยเห็นหรือเปล่า ผมเห็นในรูปครั้งแรกชอบมากๆครับ เพราะแนวดี ถ้าได้มาบ้านคงเท่ห์ เลยกะไปสืบราคาดูก่อน อ่านจากหนังสือบ้านสักเล่มหนึ่งบอกว่า office อยู่ใกล้ๆสถานีรถไฟฟ้าเอกมัย ผมก็ไปจอดที่เมเจอร์เอกมัย แล้วก็ลงเดินผ่านวัดธาตุทองไปเรื่อยๆ ไป เรื่อย ไป เรื่อย .... โห เดินมาเกือบถึงสถานีรถไฟฟ้าพระโขนง ตรงอากิโยชิ พอเดินไปถึงถามราคา OH!!GOD .... เกือบแสนเลยครับ ตู้เย็นใบนิดเดียว ระบบก็เป็นแบบโบราณ แต่สวยจริงๆครับ แจ่มมาก พอดียังมีสติอยู่เลยเดินหนีออกมาก่อน และหันไปซื้อตู้เย็นสีขาวของ sumsung หมื่นกว่าบาทแทน เฮ้อ เรื่องก็จบลงด้วยประการฉะนี้ครับ

เกือบลืมครับ ใครที่ติดตู้เย็นทราบหรือไม่ครับว่าท่านควรติดสายดินด้วย ตู้เย็นรุ่นใหม่ๆนั้นบางรุ่นจะมีปลั๊ก 3 ขาเสียบมาให้อยู่แล้ว แต่หลายรุ่นในปัจจุบันยังเป็นปลั๊กแบบ 2 ขาเสียบอยู่นะครับ แต่ถ้าสังเกตดีๆบริเวณด้านล่างจะมีน๊อตสำหรับต่อสายดินด้วย ควรติดตั้งสายดินไว้ครับเพื่อความปลอดภัย เพราะโครงสร้างตู้เย็นเป็นเหล็ก เมื่อตู้เย็นแก่ตัวลงก็อาจเกิดการรั่วซึมของไฟได้ครับ ต่อไว้สบายใจกว่าครับ .... ไปละ บ๊าย บาย \(^-^)>
1 ความคิดเห็น:
ใช้ค่ะ เห็นด้วยสวยมากกกกกกกกกกกกก แต่ก็แพงมากกกกกกกกกกกกกกด้วย
แสดงความคิดเห็น