วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บ้าน บาน บ้า ความลงตัวที่ไม่น่าเชื่อ

สำหรับผู้ซื้อบ้านเองส่วนใหญ่ ผมเชื่อว่าคงต้องเข้าสู่วงจร "บ้าน บาน บ้า" ไม่มากก็น้อย นั่นก็เพราะบ้านเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ ซึ่งหลายคนอาจมีได้แค่ 1 ชิ้นในชีวิตเท่านั้น เพราะกว่าจะผ่อนหมดก็เกษียณกันไปหมดแล้ว สำหรับตัวผมเอง ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่เข้าไปสู่วงจรดังกล่าวเหมือนกัน บทความในหัวข้อ "เฮ้อ ยากจัง กว่าจะมีบ้านสักหลัง" รวมถึงเรื่อง "มีบัตรเครดิตหลายใบดีกว่าใบเดียวนี่นา ..." ก็เกิดมาจากวงจรนีทั้งสิ้น แต่การมีบ้านของตัวเองก็ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้นมากมาย แม้ว่าผมทำงานเกี่ยวข้องกับการทำบ้านมาก็ตั้งนานแล้ว

การหลุดพ้นจากวงจร "บ้าน บาน บ้า" ให้ได้อย่างสมบูรณ์ ก็คงต้องปรับใช้หลักธรรม เรื่องของความพอดีมาใช้ครับ ไม่รู้ว่ามีใครเคยอ่านหนังสือขายดีเรื่อง "เข็มทิศชีวิต" ของฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือเปล่า ผมว่าหนังสือเป็นหนังสือที่ขายดีจริงๆ เพราะไม่ว่าผมจะไปร้าน Se-ed ครั้งใดหรือสาขาใด หนังสือเล่มนี้ก็ต้องติดอยู่บนชาร์ท Top 20 Best Seller ของทางร้านเสมอ และก็ไม่รู้ตอนนี้จัดพิมพ์ไปเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว (รู้แต่ว่าเริ่มมีเล่ม 2 ออกมาแล้ว แต่ผมยังไม่ได้อ่านเลย) ขอนอกเรื่องอีกหน่อยนะครับ หนังสือเล่มนี้ผมซื้อมาไม่ได้เกิดจากการเห็นว่าเป็น Best Seller หรือว่าพิมพ์มาหลายครั้งแต่อย่างใด หากแต่อยากซื้อหลังจากได้ฟังการสัมภาษณ์ผู้เขียนผ่านรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง (จำไม่ได้แล้ว) ซึ่งเรื่องราวของผู้เขียน (หนังสือ) นั้นบางส่วนสะท้อนชีวิตผู้เขียน (Blog นี้) โดยเฉพาะความเชื่อในวัยเด็กว่าถ้าตั้งใจเรียนดีๆ ต่อไปก็จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง (อันนี้จริงครับ) และก็ได้งานดีๆทำ (อันนี้ก็จริงบางส่วน) และก็จะมีชีวิตที่ดีในที่สุด (อันนี้เริ่มไม่จริง) แต่ภายหลังด้วยเหตุการณ์บางอย่างก็ทำให้ความคิดนี้ของผู้เขียนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง (ไปอ่านเอาเองแล้วกันนะครับ)

สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ในหนังสือเข็มทิศชีวิต ที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาดังกล่าว ก็คือการเปรียบเทียบความต้องการของเราเป็นเหมือนแก้ว และการสนองตอบความต้องการเหมือนน้ำ ผู้เขียนแสดงความคิดว่ามนุษย์โดยทั่วๆไปนั้นจะมีแก้วที่มีความจุมากกว่าน้ำเสมอ และมีความพยายามในการจะทำให้น้ำนั้นเต็มแก้ว แต่พอน้ำเต็มแก้ว ก็เปลี่ยนเป็นแก้วใบที่ขนาดใหญ่กว่าเดิมอีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ผู้เขียนเสนอให้ลองคิดต่างว่า แน่นอนทุกคนต้องการน้ำเต็มแก้ว แต่แทนที่จะหาน้ำมาเติมเรื่อยๆ ทำไมเราไม่ลองลดขนาดแก้วดูละ น้ำก็เต็มแก้วได้เช่นกัน

ถ้าเราสามารถปรับใช้ความคิดดังกล่าวได้ ความทุกข์เรื่องการอยากมีโน่นมีนี่ อยากเป็นนู่นเป็นนี่ก็คงจะลดลง แต่ผมขอเสริมว่าไม่ใช่เราพอใจจนกระทั่งไม่ทำงาน ตัดความกระตือรือล้น หรือความทะเยอทยานลง ในความคิดของผมการตั้งเป้าหมายให้ชีวิตก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วก็อย่าไปทุกข์กับมัน ถ้าน้ำล้นออกจากแก้ว ค่อยทำการเปลี่ยนแก้วก็ยังไม่สายครับ

หลักการในเรื่องการซื้อบ้านก็เช่นกัน การศึกษาข้อมูลให้เข้าใจผ่านการพูดคุย (จากช่าง จากเจ้าหน้าที่ธนาคาร จากผู้ซื้อคนอื่นๆ หรือถ้าไม่มีใครจะคุยกับผมก็ได้) หรืออ่านจากบทความ (ที่มีเยอะแยะใน internet โดยให้ Google เป็นเลขาส่วนตัว)แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาวางแผนก็จะทำให้เราสามารถกำหนดขนาดแก้วให้เหมาะสมกับน้ำหรือกำลังทรัพย์ที่เรามีได้ ผมจำได้ว่าเคยฟังการสัมภาษณ์ของดาราชายสุดหล่อ คุณวิลลี่ แม็คอินทอช ที่เข้าสร้างบ้าน 4-5 ชั้น โดยนักข่าวถามว่างบบานปลายหรือเปล่า คุณวิลลี่ ตอบอย่างน่าฟังว่า ถ้าเราวางแผนและทำตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด งบเราก็จะไม่บานปลาย เราก็จะไม่ต้องปวดหัว อยากได้อยากมี หรือว่าเป็นหนี้เป็นสินครับ อืม... ฟังแล้วไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า ขอเสริมเพิ่มโดยยกคำพูดของเพื่อนผมที่มักจะบอกผมว่า "ค่อยๆทำไป ไม่ต้องรีบร้อน เพราะรีบร้อนไปเดี๋ยวเครียดป่าวๆ" (ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพได้ ทำให้เป็นโรคร้ายได้นะครับ) และวิศวกรเพื่อนร่วมงานผมคนหนึ่งก็พูดอย่างน่าฟังว่า "ค่อยๆแต่งบ้าน จะทำให้รู้สึกว่าเรามีบ้านใหม่ตลอด" เออ คิดไปได้ด้วย

ยังไงจะยึดแนวทางไหน ก็ขอให้สู้ๆครับ อย่าบ้าไปซะก่อน พูดซะอย่างดีแต่ตัวผมเองก็ใช่ว่าจะทำได้ เป็นหนี้เป็นสินอยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆใช้ไป ไม่เครียด และอยู่อย่างมีความสุขครับ

ไม่มีความคิดเห็น: