วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

มะเร็ง สัญญาณร้าย

ผมเป็นมะเร็งครับ !!

ผมเป็นคนที่เคยเชื่อว่ามะเร็งอยู่ห่างไกลเหลือเกิน ซึ่งนั่นอาจทำให้เราใช้ชีวิตด้วยความประมาทก็ได้ แต่ลึกๆ ผมยังเชื่อว่าผมใช้ชีวิตอย่าคนปกติทั่วไป หรืออาจจะดีกว่าหลายๆคนด้วย เพราะผมไม่ได้เป็นคนทานเหล้า หรือสูบบุหรี่ หรือแม้กระทั่งของย่างๆปิ้งๆก็ไม่ได้ชอบกิน อาจมีที่ไม่ดีก็คือผมไม่ค่อยทานผัก และอาจจะขับถ่ายไม่ตรงเวลา ผมจึงยังคนสงสัยว่า่ทำไมถึงเป็นมะเร็งได้เนี่ย

เริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน ผมมีอาการปวดท้อง ซึ่งไปให้หมอแถวที่ทำงานดู ท่านก็บอกแค่ว่าเป็นลำไส้อักเสบ ไอ้เราก็ไม่คิดมาก กินยาตามหมอสั่ง (ลืมบ้าง กินบ้าง) จนปลายเดือนมีอาการปวดท้องคล้ายมีลมในกระเพาะดันจนท้องแน่นมาก มีอาการอาเจียรร่วมด้วย ผมจึงเข้าตรวจอย่างละเอียดกับโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง หมออายุรเวชด้านทางเดินอาหารเริ่มต้นการตรวจโดยสอบถามอาการ
จากนั้นจึงส่งไป x-ray ช่องท้อง ผมการ x-ray พบว่าช่องท้องผมเต็มไปด้วยอาหารและก๊าช หมอจึงคาดว่าน่าจะมีอะไรอุดตัน จึงตรวจโดยใช้นิ้วล้วงเข้าไปที่ทวารหนักเพื่อดูว่ามีก้อนอะไรหรือว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งหรือไม่
ผลการตรวจไม่พบอะไรผิดปกติ จึงส่งตรวจเพิ่มเติมโดยการ ultrasound ซึ่งพบว่าลำไส้ผมมีการอักเสบเล็กน้อย พบนิ่วเม็ดทรายในถุงน้ำดี หมอยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น (ส่วนผมก็คิดเอาเองว่าน่าจะเป็นลำไส้อักเสบนะแหละ) หมอส่งผมเข้าทำ MRI ทั้งที่ยังคงอืดท้อง และเพื่อกันผมอาเจียรจึงสอดท่อแข็งเข้าทางจมูกลงไปถึงกระเพาะอาหารก่อนทำ MRI ซึ่งทำให้การ MRI ซึ่งเป็นการตรวจที่ไม่เจ็บปวด แต่ต้องอดทนเล็กน้อยโดยเฉพาะการทำ MRI 2 อย่าง (ช่องท้องด้านบนและด้านล่าง) ซึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง สุดท้ายผมทนไม่ไหวขอให้พยาบาลถอดท่อที่สอดออกเพื่อให้ผมไม่รำคาญและนอนนิ่งๆตรวจได้ จากการ MRI ไม่พบสิ่งผิดปกติ หมออีกคนเข้ามารับช่วงต่อ (เนื่องจากหมอเดิมไปสัมมนา) เห็นควรว่าควรส่องกล้อง endoscope เข้าไปทางทวารหนัก เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติ ซึ่งก่อนจะทำดังกล่าว ต้องมีการระบายท้อง 1 วัน ทำให้ผมต้องเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น หลังจากนั้นต้องมีการกินน้ำใสๆอีก 2 ขวด และล้างโดยการสวน (คล้าย detox แต่ไม่ใช่น้ำกาแฟ) อีกครั้ง ผลการส่องกล้องพบการอักเสบของลำไส้บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (Transverse) ซึ่งไม่สามารถส่องกล้องผ่านตำแหน่งดังกล่าวได้ เพราะรูดังกล่าวตีบมา ทำได้แค่สะกิดชิ้นเนื้อด้านที่กล้องส่องเห็นไปตรวจ และผลการตรวจออกมาอีก 2 วันว่าผมปกติดี


การส่องกล้องดังกล่าวทำให้อาการผมดีขึ้นมาก เนื่องจากมีการระบายกากในลำไส้ไปจนหมดทำให้เศษอาหารที่เคยแน่นอยู่ไม่แน่นอีกต่อไป และผลการตรวจก็ทำให้ผมดีใจ แต่แล้ว เมื่อหมอคนเดิมกลับมา ท่านให้ความเห็นว่าผลดังกล่าวใช้ไม่ได้!! เนื่องจากตรวจได้เฉพาะเศษเนื้อด้านเดียว และอยากให้ผมตรวจเพิ่มโดยการทำ Barium หรือสวนแป้งเพื่อให้เห็น Profile ของลำไส้ใหญ่ได้ดีขึ้น หลังจากดำเนินการสวนแป้งและ x-ray ซึ่งผมว่าเป็นการตรวจที่สนุกมาก เพราะแพทย์จะต้องให้เราเีอียงตัวเพื่อให้แป้งอัดลมนั้นวิ่งไปตามลำไส้จนครบความยาว 8 เมตร เราต้องเอียงซ้าย เอียงขวา กลับหลังหลายครั้งกว่าแป้งจะเข้าไปเคลือบลำไส้จนครบ และผลการตรวจพบว่าลำไส้ช่วงขวางของผมตีบยาวทั้งสิ้น 4 cm และภาษาแพทย์เรียกรูปแบบ profile นี้ว่า Apple Core ซึ่งหมายถึงแกนแอ๊ปเปิ้ลที่เหลืออยู่เวลากินเนื้อแอ๊ปเปิ้ลไปแล้ว และนั่นหมายถึง "มะเร็ง"

หมอแนะนำให้ผมผ่าตัดโดยด่วนโดยเชื่อว่าผมเป็นมะเร็งระยะ 2 ขึ้นไป แต่สำหรับผม การผ่าตัดดูจะเป็นเรื่องใหญ่ คุณพ่อและคุณแม่ท่านขอผลดังกล่าวไปขอ Second Opinion จากหมอที่ รพ.ศิริราช ซึ่งท่านให้ความเห็นเดียวกัน เย็นนั้นผมย้ายไปที่ รพ.ราชวิถี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ผมทำประกันสังคม และรีบติดต่อหมดผ่าตัด และการผ่าตัดก็เริ่มขึ้นในเช้าวันถัดมา ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นไปเร็วกว่าที่ผมคาดมาก

การผ่าตัดของหมอนั้น ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน พนักงานโรงพยาบาลซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายๆชัดเจนเข้าทำหน้าที่ของตัวเอง มีการเจาะเลือด เพื่อนำไปเตรียมเลือด มีการโกนขน มีการทำบันทึก และสุดท้ายก็เข้าผ่า

การผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งหมอว่าการผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดใหญ่ ผมแอบดูผลการผ่าพบว่า ผมถูกผ่าไปทั้งสิ้น 30 cm ซึ่งเป็นลำไส้เล็กสัก 3 cm นอกนั้นเป็นลำไส้ใหญ่ และไส้ติ่งก็ติดไปด้วย (ตอนแรกคิดว่าดี แต่ตอนหลังมีคนบอกว่าไส้ติ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Immune System ของร่างกายเลยเริ่มหวั่นๆ) ผลการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี เหลือเพียงการรอชิ้นเนื้อตรวจว่าผมเป็นอะไร และเป็นถึงขั้นไหนกันแน่

เอ ผมต้องไปก่อนแล้ว ล้างรถเพิ่งเสร็จ เดี๋ยวคราวหน้ามาเล่าต่อนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: