วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กระดาษกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อ

พอดีได้มีโอกาสเขียนบทความลงนิตยสารเยื่อใย เลยมาเก็บไว้ในนี้ครับ เผื่อใครอยากอ่าน

กระดาษ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งธรรมดาที่สุดในทุกวันนี้ กลับถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษยชาติเนื่องจากมันช่วยทำให้เกิดการกระจายตัวและส่งต่อความรู้ของนักคิด นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ รวมถึงศิลปินที่มีชื่อเสียงก้องโลกทั้งหลาย เพราะมันถือเป็นพื้นที่สำหรับถ่ายทอดแนวคิดด้านกฎหมาย ปรัชญา ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ คำสอนทางศาสนา จินตนาการด้านบทประพันธ์ วรรณกรรม ดนตรี และศิลปะ และหลายอย่างได้กลายเป็นผลงานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในวันนี้
กระดาษแผ่นแรกที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกตามหลักฐานทำขึ้นจากเศษผ้า ด้วยฝีมือการคิดค้นของชาวจีนเมื่อประมาณ 1,900 ปีที่แล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ แพร่หลายไปยังอินเดีย ตุรกี อียิปต์ สเปนจนกระจายไปทั่วยุโรปตอนเหนือในช่วง ค.ศ. 1400โดยใช้วัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ ไหม ป่าน ฝ้าย หญ้า ไม้ไผ่ หวาย หรือลินิน จนกระทั่งถึงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วงปี ค.ศ. 1860-1870 “ ต้นไม้ ” ก็ถูกพบว่าเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสมที่สุดในการผลิตกระดาษ

ขณะที่กระดาษถือเป็นตัวเอกในการพัฒนาความรู้และความเจริญของชาวโลก แต่ในทางกลับกันกระดาษกลับถือว่าเป็นตัวร้ายตัวหนึ่งในแง่ของสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมันส่งผลให้พื้นที่ป่าทั่วโลกหายไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นลองพิจารณาถึงองค์ประกอบของกระดาษโดยทั่วไปก่อน กระดาษในปัจจุบันเป็นแผ่นวัสดุซึ่งได้จากการนำวัสดุหลาย ๆ ชนิดมาผสมให้เข้ากันดีแล้วนำไปทำเป็นแผ่น วัสดุที่ใช้เป็นสวนผสมเหล่านี้สามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเส้นใย (Fibrous material) ซึ่งเป็นโครงสร้างของแผ่นกระดาษ และส่วนที่ไม่ใช่เส้นใย ซึ่งเป็นสารเติมแต่งใช้เติมผสมลงไปในส่วนเส้นใยเพื่อปรับปรุงสมบัติกระดาษให้ได้ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ในกระดาษโดยทั่วไปจะมีส่วนเส้นใยผสมอยู่ในปริมาณร้อยละ 70-95 ของน้ำหนักกระดาษ ส่วนเส้นใยจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับนิดของกระดาษที่ต้องการผลิต วัตถุดิบที่ใช้ทำส่วนเส้นใยนี้จะได้จากพืชชนิดต่าง ๆ เช่น ไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อแข็ง และพืชล้มลุก [1]

ในปัจจุบันพบว่ามีการผลิตเยื่อกระดาษทั่วโลกในปริมาณมากกว่า 170 ล้านตันต่อปี ซึ่งจากสัดส่วนวัตถุดิบสำหรับการรผลิตเยื่อกระดาษ 1 ตัน ต้องใช้ใช้ต้นไม้เกือบ 20 ต้น ใช้น้ำ 120,000 ลิตร และใช้ไฟฟ้าประมาณ 1.2 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังเกิดของเสียระหว่างกระบวนการผลิตอีกด้วย [3] ซึ่งเมื่อคูณจำนวนการผลิตและสัดส่วนการใช้ดังกล่าวต่อปีทำให้ไม้จากป่าธรรมชาติไม่เพียงพอกับความต้องการการใช้กระดาษที่เพิ่มขึ้นอีกต่อไปแล้ว

ปัจจุบันเริ่มมีการตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการผลิตกระดาษเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากมีการรณรงค์ตามสื่อต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้ใช้กระดาษ 2 หน้า โครงการการนำกระดาษกลับมาผลิตใหม่ โครงการการไม่ใช้กระดาษในสำนักงาน หรือจะเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตกระดาษโดยใช้ต้นไม้ที่มีคัดเลือกสายพันธ์และปลูกขึ้นมาเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทดแทนต้นไม้จากธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้เกิดการลดลงของการรุกรานพื้นที่ป่า มีการใช้น้ำในกระบวนการผลิตที่ลดลง รวมไปถึงมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ซึ่งทำให้ของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างผลิตลดลงและยังกลับไปใช้ใหม่ได้ การพัฒนาดังกล่าวนอกจากจะเป็นผลดีกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังทำให้กระดาษที่ผลิตได้นั้นมีคุณภาพดีขึ้น และสามารถวางแผนการผลิตเชิงธุรกิจกันง่ายขึ้นอีกด้วย

นอกจากวิธีการอนุรักษ์ธรรมชาติต่างๆที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว ยังมีกลุ่มคนที่เริ่มมีความคิดแปลกใหม่โดยได้เริ่มพัฒนากระบวนการผลิตกระดาษจากวัตถุดิบที่เหลือใช้ ซึ่งหลายอย่างเป็นวัตถุดิบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถนำมาผลิตเป็นกระดาษได้ อย่างเช่น มูลสัตว์ เข้ามาผลิตกระดาษ และปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจที่ทำรายได้พอสมควรทีเดียว

เดิมที่เดียวมูลสัตว์นั้นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยคอกเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีผู้คนที่เริ่มใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม หันมาทดลองใช้มูลสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์กินพืชที่มีลักษณะเป็นเส้นใยเป็นอาหาร มาผลิตเป็นกระดาษ มูลช้างดูเหมือนจะเป็นสัตว์ชนิดแรกๆที่ถูกนำมาใช้ผลิตกระดาษ เนื่องจากมีจำนวนมากและมีลักษณะเป็นเส้นใยที่ชัดเจน การผลิตในปัจจุบันยังเป็นการผลิตแบบง่ายๆ แต่ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ดีพอสมควรทีเดียว เชื่อหรือไม่ว่ามูลจากช้างหนึ่งตัวจะสามารถนำไปผลิตกระดาษได้ถึง 115 แผ่นและกระดาษที่ผลิตขึ้นนั้นพิสูจน์แล้วว่าไม่มีเชื้อแบคทีเรียหรือแม้แต่กลิ่นเลย [2]

นอกจากการใช้มูลช้างแล้ว ปัจจุบันยังเริ่มมีการนำมูลสัตว์ชนิดอื่น เช่น มูลม้า มูลแพะ และมูลแกะ หรือแม้แต่มูลจากหมีแพนด้า [4] มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษอีกด้วย โดยในปัจจุบันมีการผลิตถึงวันละ 2 ตันต่อวัน และแม้ว่าคุณภาพกระดาษที่ได้จากมูลสัตว์เหล่านี้จะยังไม่สามารถทดแทนการผลิตกระดาษแบบดั้งเดิมได้ และยังคงใช้ทำอุปกรณ์เฉพาะ เช่น ทำดอกไม้ประดับ ทำกล่อง ทำร่ม โคมไฟฟ้า สมุดไดอารี่ ปกหนังสือ และห่อของขวัญ เท่านั้น แต่แนวความคิดดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน ก่อให้เกิดวงจรแห่งการอนุรักษ์ขึ้น สัตว์ทั้งหลายที่เคยใกล้จะสูญพันธ์อาจถูกอนุรักษ์มากขึ้น และหากมีการพัฒนากระบวนการผลิตเยื่อกระดาษให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เชื่อได้เลยว่าจะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสภาวะสิ่งแวดล้อมของโลก และอาจจะถือเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกอย่างหนึ่งของมนุษยชาติทีเดียว


เอกสารอ้างอิง
1. http://www.advanceagro.com/ เข้าเมื่อวันที่ 7/8/2007
2. http://www.elephantdungpaper.com/ เข้าเมื่อวันที่ 7/8/2007
3. http://myfreezer.wordpress.com/2007/06/16/ เข้าเมื่อวันที่ 7/8/2007
4. http://www.treehugger.com/files/2007/04/panda_poo_paper.php เข้าเมื่อวันที่ 7/8/2007
5. http://news.scotsman.com/latest.cfm?id=1684152006 เข้าเมื่อวันที่ 7/8/2007

ไม่มีความคิดเห็น: