สำหรับผู้ที่ไม่เคยเกี่ยวข้องหรือมีประสบการณ์กับงานก่อสร้างเลย อาจมองว่าเรื่องของการทาสีเป็นเรื่องไกลตัว ไปจ้างช่างให้เหมาทาสีไปแล้วค่อยไปตรวจงาน อันนี้เป็นเรื่องเก่าแล้ว เพราะสมัยนี้กระแส DIY มาแรง ความรู้ด้านต่างๆเค้าก็ต้อง Integrated หรือบูรณาการกันหมดแล้ว และถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องสี รับรองจะได้สีบ้านที่ตรงใจเราและอยู่กับเราไปได้อีกนานทีเดียว
การตัดสินใจเลือกเกี่ยวกับเรื่องสี จะมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ 3 เรื่องที่ต้องพิจารณา ได้แก่ ใช้สีอะไรทาดีละ, สีไหนละเหมาะกับบ้านเรา, และต้องใช้ปริมาณเท่าไรดี ส่วนเรื่องของราคานั้นปกติช่างจะทำการคิดราคาเป็นบาทต่อพื้นที่ทา ซึ่งวัดเป็นหน่วย ตารางเมตร โดย rate ทั่วๆไปก็จะอยู่ที่ 30-45 บาทต่อตารางเมตรครับ แต่ราคายังต้องขึ้นกับความยากง่ายในการทำด้วย เช่น สภาพผิวเดิมดีแค่ไหนหรือทำงานสูงแค่ไหน คราวนี้ลองมาดูปัญหาแต่ละปัญหาดีกว่าว่าเราต้องรู้อะไรก่อนตัดสินใจบ้าง
(1) ใช้สีอะไรทาดีละ?
(1) ใช้สีอะไรทาดีละ?
ปัญหานี้ดูจะเป็นปัญหาที่ยาก แม้กระทั่งกับช่างทาสีบางคนก็ยังฟันธงไม่ได้ ก่อนที่จะรู้ว่าจะใช้สีอะไรทาดี ดังนั้นเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ลองมาดูกันก่อนว่าสีทั่วๆไปที่ขายกัน มีกี่ประเภท แบบไหนกันบ้าง
สีนั้นถ้าแบ่งประเภทโดยทั่วๆไปที่เกี่ยวกับงานบ้านก็จะแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามชนิดของตัวทำละลาย ได้แก่ สีน้ำ (สีที่ละลายในน้ำ) และสีน้ำมัน (สีที่ละลายในน้ำมัน) ซึ่งสีที่ใช้ทาผนังปูนนั้นต้องเป็นสีน้ำ ส่วนสีน้ำมันจะใช้ทาพวกเหล็กและไม้ และสีทั้ง 2 ชนิดนั้น ทุกยี่ห้อสีที่เรารู้จักจะมีขายกันอยู่แล้ว นอกจากจะแบ่งกันตามตัวทำละลาย ทุกยี่ห้อสีส่วนใหญ่ยังมีการทำสีขายเป็นหลายเกรดอีก (อันนี้หมายถึงเฉพาะยี่ห้อสีที่พอรู้จัก เช่น Jotun, ICI, TOA, Beger, Captain, หรือ Nippon เป็นต้น) โดยเกรดสีก็มักแตกต่างกันไปแต่ละยี่ห้อ แต่ใหญ่ๆก็จะแบ่งได้เป็น
-สียืดหยุ่น (Elastomeric Acrylic Emulsion Paint) ซึ่งคือสีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษทำให้เนื้อสียืดหยุ่นได้มาก ซึ่งมักใช้กับผนังที่มีรอยร้าวเยอะๆ เช่น Jotaflex ของ Jotun, TOA 7 In 1, Beger Total In 1, หรือ CAPTAIN All In 1 เป็นต้น
- สีธรรมดา (Acrylic Emulsion Paint) หรือสีที่ใช้งานกันทั่วไป ซึ่งยังมีการแบ่งไปอีกหลายเกรด และมีการแบ่งแยกสำหรับการทาภายนอกและภายใน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้สีได้ตามความต้องการมากที่สุด และไม่ทำให้ต้องจ่ายเกินความจำเป็น เช่น สี Jotun เกรดดีที่สุดสำหรับภายนอกก็จะเป็น Jotashield ส่วนภายในจะเป็น Jotun Optima Majestic ส่วนที่รองๆไปเช่น Jota Matt หรือ Jota Tuff เป็นต้น
อ้าว!! รู้แบบนี้แล้วจะเลือกสีอะไรทาดี ถ้าผมแนะนำ อย่างแรกให้ดูก่อนว่าผนังที่ต้องการทามีรอยร้าวมากแค่ไหน ถ้ามีรอยร้าวมาก (รอยร้าวทั่วผนัง) ก็ง่ายเลย เพราะสามารถเลือกสียืดหยุ่น ซึ่งมีเกรดเดียวอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือสียืดหยุ่นมีคุณสมบัติเก็บฝุ่นได้ง่าย ดังนั้นหากจะใช้ทาภายนอกอาจใช้สีธรรมดาทาภายนอกอีกชั้นหนึ่ง
สำหรับกรณีที่ผนังของเรามีรอยร้าวนิดหน่อยหรือไม่มีเลยก็ใช้แค่สีธรรมดาพอ เพราะราคาถูกกว่าสียืดหยุ่นมาก จากนั้นทำการเลือกยี่ห้อและเกรดสี ตามความชอบใจ โดยผมว่าควรพิจารณาจากทุนทรัพย์เป็นหลัก แต่ถ้าไม่ติดอะไร ผมแนะนำให้เรื่องเกรดสูงสุดไปเลย เพราะจะทำให้สีซีดช้าและเช็ดล้างได้ด้วย สำหรับตัวผมเองเลือกใช้สียี่ห้อ Jotun ซึ่ง (ในความคิดผม) เป็นสีที่ดีที่สุดแล้ว โดยเลือก Jotun Optima Majestic ซึ่งเป็นสีกึ่งเงา สำหรับทาภายใน และ Jotashield สำหรับทาภายนอกครับ
อีกอย่างที่ลืมไม่ได้ก็คือสีภายในเกรดสูงสุดโดยทั่วไปจะเป็นสีกึ่งเงานะครับ ทาแล้วจะเงาๆ แต่บางครั้งเราเห็นในหนังสือเป็นสีแบบด้านๆ ออก art หน่อย ก็ให้เลือก Spec สีด้านได้ครับ ส่วนเกรดสีที่รองๆลงไปจะไม่เงาครับ จะเป็นเหมือนผนังปูนปกติ นอกจากนี้ข้อเสียของสีกึ่งเงาที่ต้องรู้ก็คือ เนื่องจากความเงาของมันจะทำให้ขับงานฉาบที่ไม่เรียบออกมาให้เด่นชัดกว่าสีทั่วไป ดังนั้นถ้าบ้านเดิมท่านเป็นสีแบบไม่เงา และเราไปทาสีใหม่ด้วยสีกึ่งเงา เราอาจจะพบความจริงเพิ่มขึ้นว่าผนังบ้านของเราไม่เรียบนะครับ
ในเรื่องของราคาของสี ผมแนะนำให้ไปดูตามร้านใหญ่ๆอย่าง Homepro, Homemart, หรือ บุญถาวร เพื่อดูเป็น reference ก่อน แต่เวลาไปเลือกซื้อจริงๆให้ไปเลือกซื้อตามร้านสีครับ สอบถามสัก 3 ร้านเป็นอย่างต่ำ ท่านจะประหยัดไปได้มากโขเลยครับ อย่างผมหาจาก net ครับ ได้ร้าน สุขสวัสดิ์เพนท์ (http://www.suksawatpaint.com/) ลอง check เทียบก่อนซื้อนะครับ
(2) สีไหนละจะเหมาะกับบ้านเรา?
ปัญหานี้นะเป็นปัญหาโลกแตก จะหาใครตอบ... คนที่ตอบได้ดี น่าจะเป็น interior หรือสถาปนิกนะครับ แต่จริงๆแล้วคนที่ต้องอยู่กับมันจริงๆก็คือตัวคุณเอง ดังนั้น คุณคงต้องพยายามลองดูสักหน่อยว่าชอบสีไหน สำหรับข้อแนะนำของผมก็คือ
- ดูตัวอย่างเยอะๆ ตัวอย่างห้องไหนคล้ายกับของเราก็จำๆมา ซึ่งตอนนี้บริษัทสีหลายๆแห่งทำตัวอย่างสีห้องให้ดูทำให้เลือกง่ายขึ้นเยอะ หรือถ้าเข้า net บ่อยๆ ลองหาดู หลาย web มีโปรแกรมเลือกเฉดสีให้เหมาะกับบ้านเราได้



- ถ้าไม่ได้ติดอะไรก็เลือกสีที่สว่างๆไว้ก่อน เพราะจะทำให้บ้านกว้างขึ้นครับ
- จากนั้นเข้าไปที่ร้านสีครับ โดยทั่วไปทางร้านจะมี plate สีละเอียดซึ่งมีเฉดสีมากกกกกก อย่างถ้าอยากได้สีส้ม ก็มีตั้งแต่ขาวส้ม จนไปถึง ส๊มส้ม ถ้าไม่มั่นใจก็ลองซื้อมาทาสักผนังได้ครับ- จดเบอร์สีที่เราใช้มา เพราะสีปัจจุบันไม่มีสีเบอร์หลักแบบเดิมแล้ว ส่วนใหญ่ใช้การผสมทั้งหมด การจดเบอร์ไว้จะช่วยได้มากกรณีมีงานซ่อมและจำเป็นต้องทาสีในอนาคต สีที่ได้จะไม่เพื้ยนและไม่จำเป็นต้องทาใหม่ทั้งหมด
- สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ควรจำไว้ก็คือ ควรเลือกเกรดก่อนเลือกเฉดสี เพราะสีเกรดต่ำๆมักไม่มีเฉดสีมากเท่าสีเกรดสูงๆ ดังนั้นถ้าเลือกเฉดไปก่อน เราอาจต้องตัดใจซื้อสีเกรดที่สูงกว่าความต้องการจนทำให้งบบานปลายได้ครับ
(3) ต้องซื้อสีเท่าไรดี?
ปกติสีที่เราต้องซื้อจะประกอบไปด้วย สีที่เราเลือกจากข้อ 1 และ สีรองพื้นปูนเก่า (สำหรับบ้านมือสอง) คำว่าปูนเก่านั้นจริงๆแล้วไม่ได้หมายถึงปูนที่มีอายุนานแล้ว แต่หมายถึงปูนที่ผ่านการทาสีมาแล้ว การทาสีทับปูนที่ทาสีมาแล้วนั้นไม่แนะนำครับ เพราะสีอาจหลุดร่อนได้ง่ายกว่าทาสีลงบนสีรองพื้น แต่ช่างหลายท่านก็เคยทามา โดยเฉพาะในกรณีที่สภาพสีเดิมนั้นดีไม่มีหลุดร่อน ถ้าเลือกได้ก็อย่าเชื่อครับ ลงทุนซื้อสีรองพื้นเถอะครับ ราคาเพิ่มอีกไม่เท่าไร
สำหรับการคำนวณปริมาณสีที่ต้องใช้มี rate คร่าวๆดังนี้
- สีรองพื้น ทาได้ 50-70 ตารางเมตร ต่อ 1 แกลลอน ต่อรอบ
- สีจริง ทาได้ 30-50 ตารางเมตร ต่อ 1 แกลลอน ต่อรอบ
โดยขั้นตอนการทาสีจริงจะทาสีรองพื้น 1 รอบ ตามด้วยสีจริง 2 รอบ ดังนั้นปริมาณสีจริงที่คำนวณได้ต้องคูณ 2 นะครับ สำหรับอัตราดังกล่าวเป็นอัตราทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติมักจะประหยัดกว่านี้ ดังนั้นทางที่ดีหลังจากคำนวณแล้ว ให้ซื้อสีมาทาสักครึ่งนึงก่อน จากนั้นจะเป็นว่าต้องซื้อเพิ่มอีกเท่าไร จะไม่มีสีเหลือ
ส่วนการคำนวณว่าพื้นที่ที่ต้องทาเป็นกี่ตารางเมตร เหอๆๆๆ อันนี้ต้องช่วยตัวเองแล้วครับ พื้นที่กำแพง = กว้าง x สูง ครับ ^-^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น