วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

JOHN HOPKINS HOSPITAL REPORT

หลังจากผ่านการทำคีโม 8 Course และได้รับการตรวจเบื้องต้นอีก 1 ครั้งในวันที่ 13/1/2009 ซึ่งทางหมอได้ทำการตรวจค่า CEA และ Ultrasound ตับ ผล ปกติ ดูเหมือนการใช้ชีวิตช่วงนี้จะตกอยู่ในความประมาทอีกแล้ว เพราะเริ่มละเลยเรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย คงมัวแต่เห่อบ้านที่เพิ่งซื้อใหม่จนลืมอะไรๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด

เมื่อวานไปทานข้าวร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่ง แฟนส่งหนังสือคู่สร้างคู่สมมาให้อ่าน เป็นหัวข้อเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เป็นมะเร็งแล้วหาย ผู้ป่วยดังกล่าวเป็นมากกว่าผมเยอะ เพราะเป็นถึงขั้นที่ 4 แล้ว โดยเริ่มไปตรวจพบที่กระดูกสันหลัง แพทย์ลงความเห็นว่าน่าจะลามมาจากที่อื่น พอไปตรวจพบว่าเป็นจากต่อมไทรอยด์ จนต้องใช้วิธีกินรังสี และเริ่มหันเข้าสู่ธรรมะ อ่านไปก็นึกสะท้อนถึงตัวเองว่า ช่วงที่เราป่วยก็เหมือนจะเข้าหาธรรมะมากขึ้น แต่พอหาย เริ่มได้ใจ เริ่มประมาท ... นี่แหละหนา มนุษย์

ล่าสุดแฟนได้ส่ง e-mail มาให้ ทำให้เริ่มระลึกย้อนไปถึงวันที่รู้ตัวใหม่ๆว่าเป็นมะเร็ง เรากลัว เราบังคับตัวเอง ควบคุมอาหาร นอนถูกเวลา และออกกำลังกายทุกวัน คิดเองว่าคงต้องเริ่มใหม่ กับบ้านใหม่สักที คิดได้ดังนี้ก็เลยคิดเพิ่มว่าลองใส่บทความนี้มาใน blog เผื่อใครเผลอๆมาได้อ่านจะเกิดประโยชน์บ้าง (อันนี้ไม่นับขาประจำอย่าง "แก" นะ) ... เออ ผมเกลาข้อความนิดหน่อยนะ

หลังจากเชื่อกันมานานว่าการทำคีโมและการฉายรังสีเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการกำจัดโรคมะเร็ง ปัจจุบันโรงพยาบาลจอห์น ฮอพกินส์เริ่มแนะนำถึงทางเลือกอื่นๆ จากข้อมูลล่าสุด ดังนี้

1. ทุกๆคนมีเซลมะเร็งอยู่ในร่างกาย เซลมะเร็งเหล่านี้จะไม่ปรากฎด้วยวิธีการตรวจสอบตามมาตรฐาน จนกระทั่งมันขยายตัว เพิ่มขึ้นในระดับพันล้านเซล เมื่อแพทย์บอกว่าไม่มีเซลมะเร็งในร่างกายผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาแล้ว มันหมายถึงว่าระบบ ไม่สามารถตรวจสอบเซลมะเร็งได้เพราะว่าจำนวนของมันยังไม่มากพอ จนถึงระดับที่สามารถตรวจจับได้เท่านั้น


2. เซลมะเร็งเกิดขึ้นระหว่าง 6 ถึงมากกว่า 10 ครั้งในช่วงอายุของคนๆหนึ่ง

3. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงเพียงพอ เซลมะเร้งจะถูกทำลายและป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวและกลายเป็นเนื้องอก

4. เมื่อใครก็ตามเป็นมะเร็ง มันกำลังบอกว่าคนๆนั้นมีความบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งอาจเกิดจากยีน สิ่งแวดล้อม อาหารและปัจจัยอื่นๆในการดำรงชีวิต

5. เพื่อเอาชนะภาวะบกพร่องหลายประการเกี่ยวกับโภชนาการ การเปลี่ยนแปลงประเภทของอาหารรวมทั้งสารอาหารบางอย่าง จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

6. การทำคีโมคือการให้สารเคมีที่มีความเป็นพิษกับเซลมะเร็งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน มันก็จะทำลายเซลที่ดี ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในไขกระดูก ทำลายระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ และเป็นสาเหตุทำให้อวัยวะบางส่วนถูกทำลาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ฯลฯ

7. การฉายรังสีแม้ว่าจะเป็นการทำลายเซลมะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดอาการไหม้ เป็นแผลเป็น และทำลายเซลที่ดี เนื้อเยื่อ และอวัยวะ

8. การบำบัดโดยคีโม และการฉายรังสีมักจะช่วยลดขนาดของเนื้องอกได้ในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามถ้าทำไปนานๆพบว่ามักไม่ ส่งผลต่อการทำลายเซลเนื้องอก

9. เมื่อร่างกายได้รับสารพิษจากการทำคีโมหรือการฉายรังสีมากเกินไป ระบบภูมิคุ้มกันอาจปรับตัวเข้ากันได้หรือไม่ก็อาจถูก ทำลายลง ดังนั้นคนๆนั้นจึงอาจตกอยู่ในอันตรายจากการติดเชื้อหลายชนิดและทำให้โรคมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น

10. การทำคีโมและการฉายรังสีอาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกลายพันธุ์ ดื้อยา และยากต่อการทำลาย การผ่าตัดก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เซลมะเร็งกระจายไปทั่วร่างกาย

11. วิธีที่ดีที่สุดในการทำสงครามกับมะเร็ง คือการไม่ให้เซลมะเร็งได้รับอาหารเพื่อนำไปใช้ในการขยายตัว
อะไรคืออาหารที่ป้อนให้กับเซลมะเร็ง อันได้แก่
----> น้ำตาล คือ อาหารของมะเร็ง การตัดน้ำตาลคือการตัดแหล่งอาหารสำคัญที่จ่ายให้กับเซลมะเร็ง สารทดแทนน้ำตาลอย่างเช่น 'นิวตร้าสวีต' 'อีควล' 'สปูนฟูล' ฯลฯ ล้วนทำมาจากสารให้ความหวาน ซึ่งเป็นอันตราย สารทดแทนซึ่งเป็นกลางที่ดีกว่าคือน้ำผึ้งมานูคา (จากนิวซีแลนด์) หรือน้ำอ้อย แต่ในปริมาณน้อยๆเท่านั้น
----> เกลือสำเร็จรูป ใช้สารเคมีในการฟอกขาว ควรหันไปเลือกใช้ 'แบรกอมิโน' หรือเกลือทะเลแทน
----> นมเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายผลิตเมือก โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหาร เซลมะเร็งจะไ้ด้รับอาหารได้ดีในสภาวะที่มีเมือก การใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หวานแทนนม จะทำให้เซลมะเร็งไม่ได้รับอาหาร
----> เนื้อสัตว์ เซลมะเร็งเติบโตได้ดี ในภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด อาหารจำพวกเนื้อจะสร้างสภาวะกรดขึ้น ดังนั้นจึงควรหันไปรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยผักสด 80%และน้ำผลไม้ พืชจำพวกหัว เมล็ด ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้จำนวนเล็กน้อย จะช่วยทำให้ร่าง กายมีสภาวะเป็นด่าง อาหารอีก 20% อาจได้มาจากการทำอาหารร่วมกับพืชจำพวกถั่ว หรือถ้าต้องทานเนื้อสัตว์ให้เลือกปลาจะดีที่สุด รองลงไปคือไก่ ส่วนเนื้อและหมู อาจมียาฆ่าเชื้อ ฮอร์โมนที่สร้างการเจริญเติบโตในสัตว์ และเชื้อปรสิตบางประเภทตกค้างอยู่ ซึ่งล้วนเป็นอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นมะเร็ง
----> น้ำผักสดจะให้เอ็นไซม์ซึ่งสามารถดูดซึม ได้ง่ายและซึมทราบสู่ระดับเซลภายใน 15 นาที เพื่อบำรุงร่างกายและส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลที่ดี เพื่อให้ได้เอ็นไซม์ใน การสร้างเซลที่ดี ให้พยายามดื่มน้ำผักสด (ผักส่วนใหญ่รวมทั้งถั่วที่มีหน่อหรือต้นอ่อน) และรับประทานผักสดดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน และระวังเรื่องอุณหภูมิ เพราะ เอ็นไซม์จะถูกทำลายได้ง่ายที่อุณหภูมิ 140 องศา F (ประมาณ 40 องศา C)
----> ให้หลีกเลี่ยงกาแฟ น้ำชา และช๊อกโกแลต ซึ่งมีคาเฟอีนสูง ชาเขียวถือเป็นทางเลือกที่ดีและมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง น้ำดื่ม ให้เลือกดื่มน้ำบริสุทธิ์ หรือที่ผ่านการกรอง เพื่อหลีกเลี่ยงท๊อกซินและโลหะหนักในน้ำประปา น้ำกลั่นมักมีสภาพเป็นกรด ให้หลีกเลี่ยง
----> โปรตีนจากเนื้อจะย่อยยาก และต้องการเอ็นไซม์หลายชนิดมาช่วยในการย่อย เนื้อสัตว์ที่ไม่สามารถย่อยได้ในระบบทางเดินอาหารจะเกิดการบูดเน่าและมีความเป็นพิษมากขึ้น
----> ผนังของเซลมะเร็งจะมีโปรตีนห่อหุ้มไว้ การงดหรือการรับประทานเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้มีเอ็นไซม์เหลือมากพอมาใช้ โจมตีกำแพงโปรตีนที่ห่อหุ้มเซลมะเร็ง และช่วยให้เซลของร่างกายสามารถกำจัดเซลมะเร็งได้ดีขึ้น

แฟนจ๋า อ่านดีๆน้า ถ้าเลือกได้ก็ไม่ควรกินเนื้อปลานะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น: